กรณีศึกษา ผู้ป่วย Bipolar Disorder | |
กลุ่มของกรณีศึกษา: Bipolar Disorder | |
เพศหญิง (Female) (อายุ 35 ปี) ไม่นอน พูดมาก พูดไม่หยุด แจกจ่ายข้าวของต่างๆ ให้กับคนข้างบ้านมา 2 วัน ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน 4 ปีก่อน เคยเข้ารับการรักษาที่.โรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งด้วยโรค Bipolar I Disorder ได้รับยา lithium (300 mg) 1 tab @ bid pc. หลังจากออกจาก รพ. ติดตามการรักษาไม่สม่ำเสมอ 2 ปีก่อน ผู้ป่วยท้อแท้ ห่อเหี่ยวไม่อยากทำงาน ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน โกรธและก้าวร้าวเมื่อถูกกระตุ้นให้ทำงาน ทำงานผิดพลาดบ่อยเพราะไม่มีสมาธิ และรู้สึกว่าตนไม่มีประโยชน์ต่อครอบครัว ตนเองไร้ค่า ไม่มีความหมาย จึงทานยานอนหลับไป 30 เม็ด เพื่อนบ้านนำส่งรพ. แพทย์รักษาอาการดีขึ้นจึงให้กลับบ้าน 7 เดือนก่อนมา รพ. ผู้ป่วยไม่ไปพบแพทย์ตามนัด และไม่รับประทานยา บอกว่าตนเองหายแล้วไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ 5 สัปดาห์ก่อน ผป. มีอาการพูดมาก พูดคนเดียว หัวเราะไม่สมเหตุผล พูดรัวเร็วเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่ยอมนอน ชอบแจกเงิน บอกว่าตนเป็นเศรษฐี มีเมกะโปรเจคถ้าทำสำเร็จจะเป็นมหาเศรษฐี และสั่งให้ผู้อื่นทำกิจกรรมตามที่ตนสั่ง เมื่อถูกคัดค้านก็โกรธและท้าตี 1 สัปดาห์ก่อนมา รพ. ผู้ป่วยพูดคนเดียวมากขึ้น มีท่าทางแปลกๆ เพื่อนบ้านสังเกตเห็นผู้ป่วยเก็บของมีคม ตามถุงขยะมาเก็บไว้ในห้องนอนตนเอง 2 วันก่อนมารพ. ไม่นอน พูดมาก พูดไม่หยุด แจกจ่ายข้าวของต่างๆ ให้กับคนข้างบ้าน ญาติจึงนำตัวส่ง รพ. ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต 10 ปีก่อน ผู้ป่วย ป่วยด้วยโรค Deep vein thrombosis เข้ารับการผ่าตัด 4 ปีก่อน ผู้ป่วยเคยเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลจิตเวช ด้วยอาการวุ่นวาย แจกจ่ายของใช้ในบ้าน - ปฏิเสธการแพ้ยาแพ้อาหาร - ปฏิเสธประวัติการได้รับอุบัติเหตุทางศีรษะ ประวัติส่วนตัว ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 35 ปี สถานภาพสมรส หย่าร้าง มีบุตรชาย 1 คน อายุ 10 ปี ส่งไปให้ยายเลี้ยงที่ต่างจังหวัด ผู้ป่วยจะส่งเงินให้มารดาเป็นค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 6,000 บาท ผู้ป่วยจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปัจจุบันประกอบอาชีพ พนักงานทำความสะอาดในบริษัทแห่งหนึ่ง เคยได้รับการวินิจฉัยโรค Bipolar disorder เมื่อ 4 ปีก่อน ที่ โรงพยาบาลจิตเวช เข้ารับการรักษาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ประวัติครอบครัว ผู้ป่วยเป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 4 คน บิดาของผู้ป่วยเสียชีวิตเมื่อผู้ป่วยยังเด็ก มารดาอายุ 69 ปี มีโรคประจำตัวคือเบาหวานรักษาที่ รพ. ประจำจังหวัด พี่ชายคนแรกเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ เมื่ออายุ 37 ปี พี่ชายคนที่ 2 และน้องชายคนที่ 4 สุขภาพแข็งแรงดี แต่งงานและมีครอบครัว ผู้ป่วยมีบุตรชาย 1 คน สุขภาพแข็งแรงดี ปฏิเสธโรคจิตเวชในครอบครัว สรุปภาวะสุขภาพ สภาพทั่วไป ร่างกายสะอาดดี รูปร่างท้วม ผิวคล้ำ ใส่ชุดโรงพยาบาล ท่าทางเป็นมิตร อาการและอาการแสดง ขณะอยู่ใน รพ. ผู้ป่วยยังคงไม่อยู่นิ่ง ไม่นอนตามเวลา พูดตลอดเวลา เดินไปมา สนใจสิ่งแวดล้อมได้ไม่นาน ทักทายผู้อื่นไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนเรื่องพูดจากเรื่องหนึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างรวดเร็ว พูดมาก ตลกเฮฮา หัวเราะเสียงดัง บอกว่าตนเป็นเศรษฐี มีเงินมากมาย จะลงทุนทำโครงการเมกะโปรเจค จากการสังเกตเห็นผู้ป่วยมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย บางช่วงอารมณ์ดี บางช่วงหงุดหงิด เมื่อมีคนขัดใจก็จะโกรธและมีท่าทีจะทำร้าย ไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มได้ การตรวจร่างกายที่ผิดปกติ : - ไม่มี - สัญญาณชีพ : T= 37.4 C P= 72/min RR= 20/min BP=98/62 mmhg การรักษา : ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยา Lithium (300 mg) 1×2 pc สรุปกรณีศึกษา ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 35 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการสำคัญคือ ไม่นอน พูดมาก พูดไม่หยุด แจกจ่ายข้าวของต่างๆ ให้กับคนข้างบ้านมา 2 วัน ขณะอยู่โรงพยาบาลมีอาการพูดตลอดเวลา ตลกเฮฮา หัวเราะเสียงดัง มีความคิดหลงผิด มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เมื่อมีคนขัดใจก็แสดงอาการโกรธรุนแรงและมีทีท่าจะเข้าไปทำร้าย ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยา Lithium (300 mg) 1×2 pc ปัญหาทางการพยาบาลคือ มีความเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น มีความเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากอาการเป็นพิษจากยา Lithium ที่ใช้ในการรักษา มีกระบวนการคิดแปรปรวน และมีปฎิสัมพันธ์ทางสังคมบกพร่อง ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล เสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นเนื่องจากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย บางช่วงอารมณ์ดี บางช่วงหงุดหงิด เมื่อมีคนขัดใจก็แสดงอาการโกรธรุนแรงและมีทีท่าจะเข้าไปทำร้าย กิจกรรมการพยาบาล 1. จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยและบุคคลอื่น โดย - ขจัด/ลดสิ่งกระตุ้นอารมณ์โกรธของผู้ป่วย - ไม่ให้มีสิ่งของที่อาจใช้เป็นอาวุธได้ - จัดให้พักในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ และปลอดภัย 2. ประเมินระดับความรุนแรงของพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น - การแสดงออกทางสีหน้า: บึ้งตึง โกรธ ท่าทางไม่พอใจ แววตาไม่เป็นมิตร - การเคลื่อนไหว และการกระทำ: กระวนกระวาย อยู่ไม่นิ่ง กระแทกหรือกระทำด้วยความรุนแรง - การแสดงออกทางคำพูด: เงียบเฉยผิดปกติ โต้ตอบด้วยน้ำเสียงห้วน พูดก้าวร้าว 3. ดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยขณะมีพฤติกรรมรุนแรงให้เหมาะสมตามระดับความรุนแรง - พยาบาลควรเผชิญสถานการณ์ด้วยความมั่นใจ ระมัดระวัง และสงบ - พูดคุยกับผู้ป่วยด้วยน้ำเสียงปกติ ยอมรับ ไม่ตำหนิ ใช้คำถามปลายเปิดให้ผู้ป่วยได้ระบายความไม่พอใจ วิพากษ์วิจารณ์การบริการที่ได้รับด้วยท่าทีสงบ 4. สนทนาเพื่อการบำบัดโดยค้นหาสาเหตุหรือปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีอารมณ์โกรธและพฤติกรรมรุนแรง สะท้อนให้ผู้ป่วยรับรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้มีพฤติกรรมรุนแรงและผลลัพธ์จากพฤติกรรมรุนแรงของตนเอง และร่วมกันหาวิธีจัดการความโกรธที่เหมาะสม 5. เมื่อประเมินพบว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการใช้พฤติกรรมรุนแรง ใช้วิธีจำกัดพฤติกรรมรุนแรงตามลำดับ ดังนี้ 5.1 ตักเตือน ห้ามปรามด้วยวาจา 5.2 แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกหรือผูกยึดผู้ป่วยอย่างถูกต้องตามเทคนิคตามสภาวะทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วย โดยอธิบายและขออนุญาตจากญาติถึงความจำเป็นในการจำกัดพฤติกรรม ระยะเวลาและสิทธิของผู้ป่วยในขณะที่ถูกจำกัดไว้ตั้งแต่แรกรับผู้ป่วย 5.3 ในขณะผู้ป่วยอยู่ในห้องแยก ประเมินอาการผู้ป่วยทุก 1-2 ชม. แต่ไม่เกิน 4 ชม. ถ้าผู้ป่วยยังไม่สงบ ให้รายงานแพทย์ เพื่อพิจารณาการให้ยา 5.4 ให้ยาฉีด prn ตามแผนการรักษา 5.5 เฝ้าระวังความเสี่ยงของพฤติกรรมรุนแรงต่อเนื่องอย่างน้อย 24 ชม. ข้อวินิจฉัยการพยาบาล เสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากอาการเป็นพิษจากยาที่ใช้ในการรักษา ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับยา Lithium (300 mg) 1×2 pc กิจกรรมการพยาบาล 1. ให้ผู้ป่วยรับประทานยาตามแผนการรักษา 2. แนะนำวิธีการรับประทานยา Lithium ดังนี้ - รับประทานพร้อมกับมื้ออาหาร เพราะยา Lithium ระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร - ดื่มน้ำในจำนวนสม่ำเสมอทุกวัน - รับประทานอาหารเค็มตามปกติ ไม่เพิ่มหรือลดปริมาณความเค็ม - ห้ามใช้ยาขับปัสสาวะและยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (NSAID) ร่วมกับการใช้ยา Lithium 3. ประเมินและเฝ้าระวังระดับความรุนแรงของอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา Lithium ในผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง - จากระดับ Serum Lithium ในเลือด - จากอาการเป็นพิษที่ระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ง่วงนอน มือสั่น ปวดศีรษะ เดินเซ พูดไม่ชัด กล้ามเนื้อ กระตุก ระบบทางเดินอาหาร เช่น น้ำลายไหล คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ระบบ ผิวหนัง เช่น มีสิว ผื่นแดง ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ 4. ให้ผู้ป่วยหยุดรับประทานยาหากมีอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงและรายงานแพทย์ 5. ควรตรวจการทำงานของไตและไทรอยด์เป็นระยะ เนื่องจาก การใช้ยา Lithium ในระยะยาวอาจมีผลต่อไตและไทรอยด์ | |