กรณีศึกษาผู้ป่วยจิตเภท | |
กลุ่มของกรณีศึกษา: ผู้ป่วยจิตเภท | |
เพศชาย (Male) (อายุ 25 ปี) 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล พูดคนเดียว แยกตัว ก้าวร้าว ด่าคนอื่นไปทั่ว หวาดระแวง คิดว่าญาติจะทำร้าย ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน 5 ปีก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยเริ่มเก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่สนใจตนเอง พูดคนเดียว กล่าวหาว่าคนในบ้านจะทำร้าย กลางคืนไม่นอน ญาตินำส่งที่โรงพยาบาลจิตเวช แพทย์วินิจฉัยเป็นโรค Schizophrenia 6 เดือนก่อนมาโรงพยาบาล เดินเร่ร่อน ไม่ใส่เสื้อผ้า พูดเรื่อยเปื่อยไม่ได้เรื่องราว รักษาไม่ต่อเนื่อง รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ 2 เดือนก่อนมาโรงพยาบาล ขาดยา 5 เดือน หวาดระแวง พูดคนเดียว บอกว่าตะโกนพูดกับเทวดา แยกตัว ทุบรถของเพื่อนบ้านและถูกทำร้ายร่างกาย ตำรวจนำส่งโรงพยาบาล 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยยังมีพูดคนเดียว แยกตัว เริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว ด่าคนอื่นไปทั่ว หวาดระแวง คิดว่าญาติจะทำร้าย กลางคืนไม่นอน มารดาจึงนำผู้ป่วยมาโรงพยาบาล ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต เคยมีประวัติชักตอนเด็กหลายครั้ง รับการรักษาแล้วไม่เป็นอีก ปฏิเสธโรคประจำตัวและโรคทางฝ่ายกายอื่นๆ ปฏิเสธการได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง หรือได้รับการผ่าตัด ปฏิเสธการแพ้ยา อาหาร หรือสารเคมีใดๆ เคยสูบบุหรี่และยาเส้น 2-10 มวนต่อวัน ตั้งแต่อายุ 16 ปี ดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง 2 ขวดต่อวัน เคยดื่มสุราแต่เลิกมา 2 ปีแล้ว และเคยใช้สารเสพติดหลายปี ปัจจุบันเลิกแล้ว แต่ผู้ป่วยจำไม่ได้ว่าเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ ประวัติส่วนตัว เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อาชีพรับจ้าง ไม่มีประวัติโรคประจำตัว ผู้ป่วยอาศัยอยู่กับมารดาและพี่สาว 1 คน ประวัติครอบครัว มารดาอายุ 58 ปี อาชีพรับจ้าง ไม่มีโรคประจำตัว บิดาเสียชีวิตเมื่ออายุ 37 ปี ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ พี่สาวอายุ 28 ปี ทำงานโรงงาน ไม่มีโรคประจำตัว ปฏิเสธการเจ็บป่วยทางจิตในครอบครัว สรุปภาวะสุขภาพ สภาพทั่วไป : ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แต่งกายเหมาะสม ให้ความร่วมมือในการตรวจ เล่าเรื่องอาการที่เกิดขึ้นอย่างเปิดเผย การรับรู้วัน เวลา และสถานที่ปกติ อาการและอาการแสดง : การแสดงออกทางอารมณ์เหมาะสม มีอาการประสาทหลอนทางการได้ยิน และมีความคิดหลงผิด ในการประเมินภาวะสุขภาพส่วนใหญ่มีความปกติ ยกเว้นในเรื่องการรู้คิด ผู้ป่วยมีความหวาดระแวง คิดว่าญาติจะทำร้าย และในเรื่องการรับรู้ ผู้ป่วยพูดคนเดียว บอกว่าได้ยินเสียงเทวดามาพูดด้วย การตรวจร่างกายที่ผิดปกติ : ไม่มี สัญญาณชีพ : T = 36.7 oC P = 79 ครั้ง/นาที R = 18 ครั้ง/นาที BP = 124/76 mmHg การรักษาที่ได้รับ - Risperidone (2 mg) รับประทาน 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น และก่อนนอน - Chlorpromazine (CPZ) (50 mg) รับประทาน 1 เม็ด ก่อนนอน - Trihexyphenidyl (ACA) (2 mg) รับประทาน 1 เม็ด หลังอาหารเช้า กลางวัน และเย็น - Haloperidol 5 mg ฉีดเข้ากล้าม ทุก 4-6 ชั่วโมง เวลาวุ่นวาย ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล1:การรับรู้ทางประสาทสัมผัสแปรปรวน(disturbed sensory perception) ข้อมูลสนับสนุน: พูดคนเดียวบอกว่าได้ยินเสียงของเทวดามาพูดด้วย การพยาบาล -สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอวันละประมาณ 30นาที เหตุผล สัมพันธภาพเพื่อการบำบัดจะช่วยประคับประคองผู้ป่วยการพบในเวลาอันสั้นและสม่ำเสมอช่วยลดความวิตกกังวลและสร้างความไว้วางใจ - เปิดโอกาสและรับฟังสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าโดยให้การยอมรับและไม่ตัดสินผู้ป่วยเหตุผล การมีทัศนคติที่ยอมรับจะสนับสนุนให้ผู้ป่วยบอกเนื้อหาของภาวะประสาทหลอนกับพยาบาลและมีความสำคัญในการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ป่วยหรือผู้อื่นจากภาวะประสาทหลอน -สังเกตภาวะประสาทหลอนของผู้ป่วย (เช่น ทำท่าฟังเสียง หัวเราะหรือพูดกับตนเอง) เหตุผล เพื่อประเมินอาการและความรุนแรงของภาวะประสาทหลอน -สำรวจช่วงเวลาที่เกิดเสียงบันทึกเหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่นำมามาก่อนเหตุผลการจำแนกเหตุการณ์ที่เพิ่มความวิตกกังวลและชักนำให้เกิดเสียงและเรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งชักนำ จะทำให้ภาวะประสาทหลอนลดลง - สำรวจเนื้อหาของภาวะประสาทหลอนกับผู้ป่วยเหตุผลสามารถระบุประเด็นที่จะนำสู่พฤติกรรมก้าวร้าวหรือการฆ่าตัวตายโดยเฉพาะภาวะประสาทหลอนที่เป็นเสียงสั่ง -หลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวผู้ป่วยโดยปราศจากการเตือนว่าพยาบาลกำลังจะแตะตัวเขาเหตุผล ผู้ป่วยอาจรับรู้การสัมผัสในลักษณะที่คุกคามและอาจตอบสนองในลักษณะก้าวร้าว -ไม่เสริมสร้างภาวะประสาทหลอน โดยใช้คำว่า *เสียงที่ได้ยิน* แทนคำว่า *พวกเขา* ซึ่งบอกเป็นนัยถึงการตรวจสอบความเข้าใจให้ผู้ป่วยรู้ว่าพยาบาลไม่คล้อยตามการรับรู้ของผู้ป่วย และให้ข้อมูลที่เป็นจริงแก่ผู้ป่วยว่า *ถึงแม้ดิฉันจะตระหนักว่าเสียงที่คุณได้ยินจะเป็นจริงสำหรับคุณแต่ดิฉันไม่ได้ยินเสียงที่กำลังพูดกับคุณค่ะ*เหตุผล พยาบาลควรมีความซื่อตรงผู้ป่วยจะต้องยอมรับว่าการรับรู้ของเขาไม่เป็นจริงก่อนที่จะมีการจัดการกับภาวะประสาทหลอน -ขณะที่เกิดภาวะประสาทหลอน ประเมินความสำคัญ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นการตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยิน ให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วยพยาบาลจะดูแลให้เขาปลอดภัยเหตุผล เป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้าใจประสบการณ์และบริบทของภาวะประสาทหลอนและความคิดหลงผิดเพื่อให้การพยาบาลที่เหมาะสม -ให้ความรู้ผู้ป่วยเกี่ยวกับธรรมชาติและผลของภาวะประสาทหลอนและวิธีที่จะพิจารณาถ้าเสียงนั้นเป็นความจริงเหตุผลให้ผู้ป่วยตระหนักถึงผลกระทบของเสียงที่ได้ยินต่อตนเองและผู้อื่นการการทดสอบความเป็นจริงจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถที่จะให้เหตุผลต่อประสบการณ์การป่วยของเขา -จัดประสบการณ์และกิจกรรมที่ไม่แข่งขันที่มุ่งเน้นอยู่บนเหตุการณ์ที่เป็นจริงในขณะนั้นเหตุผล พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วยจากภาวะประสาทหลอนการเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างบุคคลและการอธิบายสถานการณ์จะช่วยนำผู้ป่วยกลับสู่ความเป็นจริง -ร่วมกันค้นหาวิธีจัดการหรือลดภาวะประสาทหลอนเช่น การฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรือการอ่านออกเสียงดังๆ ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความสนใจต่อเสียงที่ได้ยินหรือใช้วิธีขับไล่เสียงที่ได้ยิน โดยการพูดดังๆว่า *ไปให้พ้น* หรือ*ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียว* เป็นต้นเหตุผล กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยผู้ป่วยในการควบคุมตนเองต่อเสียงที่ได้ยิน - ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา และเน้นความสำคัญของการรับประทานยารวมทั้งประเมินอาการข้างเคียงของยา เหตุผลยาต้านโรคจิตจะช่วยให้ภาวะประสาทหลอนลดลงผู้ป่วยที่มีอาการข้างเคียงของยารุนแรงจะทำให้หยุดรับประทานยา -ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมการดูแลตนเองเหตุผลความคิดที่ถูกรบกวนอาจจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล 2: กระบวนการคิดแปรปรวน (disturbed thought process) ข้อมูลสนับสนุน: มีความคิดหลงผิด (หวาดระแวง คิดว่าญาติจะทำร้าย) การพยาบาล - สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอวันละประมาณ 30 นาที เพื่อสร้างความไว้วางใจ เหตุผล สัมพันธภาพเพื่อการบำบัดจะช่วยประคับประคองผู้ป่วย การพบในเวลาอันสั้นและสม่ำเสมอช่วยลดความวิตกกังวลและสร้างความไว้วางใจ - สื่อถึงการยอมรับของความต้องการของผู้ป่วยสำหรับความเชื่อที่ผิด แต่ชี้ให้เห็นว่าพยาบาลไม่มีความเชื่อนั้น เหตุผล ผู้ป่วยจะต้องเข้าใจว่าพยาบาลไม่มองว่าความคิดของเขาเป็นจริง - ไม่โต้เถียงหรือปฏิเสธความเชื่อของผู้ป่วย เหตุผล การโต้เถียงหรือปฏิเสธความเชื่อของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ และอาจเป็นการขัดขวางการพัฒนาสัมพันธภาพที่ไว้วางใจ - ใช้การสงสัยอย่างมีเหตุผล โดยการพูดกับผู้ป่วยว่า *ฉันเข้าใจว่าสิ่งที่คุณเชื่อเป็นจริงกับคุณ แต่โดยส่วนตัวแล้วมันยากที่จะยอมรับ* เหตุผล การสงสัยอย่างมีเหตุผลเป็นเทคนิคในการบำบัด - เสริมสร้างและเน้นที่ความเป็นจริง ไม่ส่งเสริมการครุ่นคิดอย่างยาวนานเกี่ยวกับความคิดที่ไม่มีเหตุผล พูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เป็นจริงและบุคคลที่มีอยู่จริง เหตุผล การครุ่นคิดนั้นอาจทำให้อาการทางจิตกำเริบ - ควรใช้บุคลากรคนเดิมให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้งต้องมีความซื่อตรงและรักษาคำพูดกับผู้ป่วย เหตุผล เพื่อที่จะส่งเสริมการพัฒนาความไว้วางใจ - หลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายผู้ป่วย ควรเตือนผู้ป่วยก่อนการสัมผัสเมื่อให้การพยาบาล เช่น การวัดความดันโลหิต เหตุผล ผู้ป่วยที่มีความสงสัยมักจะรับรู้การสัมผัสว่าเป็นภาวะคุกคามและอาจตอบสนองในลักษณะก้าวร้าว - หลีกเลี่ยงการหัวเราะ กระซิบ หรือพูดคุยเบาๆ ในที่ซึ่งผู้ป่วยสามารถมองเห็น แต่ไม่สามารถได้ยินสิ่งที่กำลังพูดคุย เหตุผล ผู้ป่วยอาจมีความสงสัยและหวาดระแวงพยาบาล - จัดกิจกรรมที่สนับสนุนสัมพันธภาพแบบหนึ่งต่อหนึ่งกับพยาบาลหรือผู้รักษา เหตุผล การจัดกิจกรรมที่มีการแข่งขันจะคุกคามมากต่อผู้ป่วยที่มีความหวาดระแวง - ควรแสดงความจริงใจ แสดงความเป็นมิตร หรือมีทัศนคติที่ดีกับผู้ป่วย ในสถานการณ์ที่เป็นจริง เหตุผล เป็นการช่วยให้ผู้ป่วยลดความหวาดระแวง - ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมการดูแลตนเอง เหตุผล ความคิดที่ถูกรบกวนอาจจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย สรุปกรณีศึกษา ผู้ป่วยชายไทย วัยผู้ใหญ่ตอนต้น แต่งกายเหมาะสมให้ความร่วมมือในการตรวจ เล่าเรื่องอาการที่เกิดขึ้นอย่างเปิดเผย การรับรู้วันเวลา และสถานที่ปกติมาโรงพยาบาล พูดคนเดียว แยกตัว ก้าวร้าวด่าคนอื่นไปทั่ว หวาดระแวง คิดว่าญาติจะทำร้าย จากการประเมินผู้ป่วยมีการแสดงออกทางอารมณ์เหมาะสมมีอาการประสาทหลอนทางการได้ยิน และมีความคิดหลงผิด ในการประเมินภาวะสุขภาพส่วนใหญ่มีความปกติยกเว้นในเรื่องการรู้คิด ผู้ป่วยมีความหวาดระแวง คิดว่าญาติจะทำร้าย และในเรื่องการรับรู้ ผู้ป่วยพูดคนเดียว บอกว่าได้ยินเสียงเทวดามาพูดด้วย ได้รับการวินิจฉัยโรคว่าเป็นจิตเภทและมีปัญหาการพยาบาลเรื่องการรับรู้ทางประสาทสัมผัสแปรปรวน และกระบวนการคิดแปรปรวน แพทย์รับไว้รักษาในโรงพยาบาล | |